How To Plants

                                                                                           

                                                                       ปลูก "พริกอินทรีย์" ยากแต่ทำให้ดีก็ทำได้ 

             พื้นที่ 60 ไร่ ของมาดามพอลล่า ออร์แกนิคฟาม ปลูกพืชสำหรับให้ทำน้ำพริกเครื่องแกงสารพัดชนิด ยกเว้นที่ไม่เหมาะกับพื้นที่จริงๆ เช่น กระเทียม จึงจะให้วิธีซื้อจากเกษตรกรที่ได้รับมาตรฐาน เช่นเดียวกันแต่พืชอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ขิง ข่าตะไคร้ มะกรูด ผักชี กะเพรา โหระพา หอมแดง จะมีการปลูกที่ฟาร์มของมาดามพอลล่า ออร์แกนิคฟาร์ม ทั้งหมด รวมทั้งพืชเครื่องแกงที่คุณสมเกียรติบอกว่า ปลูกแบบอินทรีย์ได้ยากที่สุด หาซื้อที่เป็นอินทรีย์จริง ๆ ก็ยากที่สุดอีกทั้ง สิ่งที่เราต้องการใช่มากที่สุดคือ "พริก" 

             คุณนิคม รามจุล ผู้จัดการฟาร์ม เล่าถึงการปลูกพริกอินทรีย์ของทางฟาร์มให้ฟังว่า ที่นี้จะปลูกลงแปลงกลางแจ้ง ไม่ได้ปลูกในโรงเรือนหหรือมุ้ง เพราะไม่สามารถป้องกันเพลี้ยไฟ หนึ่งในศัตรูสำคัญของพริกได้อยู่แล้วโดยก่อนการปลูกต้องมีการปรับสภาพดินเชิงกายภาพให้ดีเสียก่อน เพราะเดิมมีลักษณะเป็นดินเหนียวแข็งอุ้มน้ำมาก ด้วยการเติมปุ๋ยพืชสด แกลบ ปลูกปอเทือง แล้วไถกลบ เพื่อให้ดินร่วนซุยขึ้น มีการระบายน้ำได้ดีและมีธาตุอาหารมากขึ้น 

             "เราทำการปรับปรุงดินมาตลอด 3 ปี จนนำมาใช้ปลูกพืชเครื่องแกงได้หลากหลายชนิด รวมทั้งพริกโดยจะต้องเตรียมดินด้วยการไถดะเปิดหน้าดิน เสร็จแล้วตากดินทิ้งไว้ 7 วันจากนั้นจึงตีดินซ้ำอีก 2 ครั้ง และยกร่องสูงประมาณ 20 เซนติเมตรด้วยผานคางหมูระยะห่างร่องประมาณ 30 เซนติเมตร จากนั้นจึงว่าระสายน้ำหยด เมื่อเสร็จแล้วก็พร้อมจะนำต้นกล้าพริกลงปลูก 

            สายพันธุ์หลักๆ ของพริกที่นำมาปลูก ประกอบด้วยพริกชี้ฟ้า พริกขี้หนูจินดา พริกภูไท ซึ่งต้องคัดและเก็บเมล็ดสำหรับเพาะกล้าด้วยตนเอง เพื่อให้มั่นใจว่าได้เมล็ดพันธุ์พริกอินทรีย์ที่ปลอดสารจริงๆ โดยวิธีการเพาะจะเลือกเก็บเมล็ดจากพริกแดงในแปลง นำเมล็ดออกมาตากแดดนาน 1 - 2 เดือน จากนั้นนำเมล็ดมาห่อผ้าขาวบางนำไปแช่น้ำ แล้วนำลงปลูกในถาดเพาะที่มีวัสดุปลูกประกอบไปด้วยกินแกลบ ขุยมะพร้าวและปุ๋ยหมัก อัตราส่วน 1 : 1 : 1 ประมาณ 1 สัปดาห์ หล้าจะเริ่มแทงยอดโผล่ออกมา และหลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน จึงค่อยย้ายกล้าลงแปลงปลูก

             "ในระยะเวลานี้เราต้องคอยดูแลเป็นพิเศษ เพราะกล้าจะค่อนข้างอ่อนแอมาก น้ำนี่ขาดไม่ได้ต้องรดน้ำ เช้า กลางวัน เย็น 3 เวลา ซึ่งพอเราปลูกแบบอินทรีย์เสริงอาหารแบบที่เป็นเคมีไม่ได้ก็อาจจะมีกล้าที่เสียหาย ต้นแคระแกร็น ใบเหลืองบ้าง แต่ถ้าเราใส่ใจจริงๆ เปอร์เซ็นความเสีบหายตรงนี้ก็จะค่อนข้างน้อย"

             เมื่อได้ต้นกล้าที่พร้อมปลูกก็จะมาเตรียมแปลงตามขั้นตอนข้างต้น รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักที่หมักขึ้นเอง เว้นระยะห่างระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ปลูกเสร็จแล้วให้น้ำตามทันทีเพื่อให้ดินชุ่มชื้น ซึ่งเวลาปลูกที่เหมาะสม คุณนิคมจะเลือกปลูกในช่วงตอนบ่ายพอเสร็จแล้วจะเป็นเวลาเย็นและช่วงเวลากลางคืนที่อากาศเย็นสบายกว่า กล้าต้องต้นพริกจะมีเวลาปรับตัวและเติบโตได้ดีกว่าการปลูกช่วงเช้า ซึ่งพอเที่ยงๆ บ่ายๆ จะเจอแดดแรงจนกล้าเหี่ยวเฉาได้ง่ายๆ 

              "หลังปลูกได้ 7 วัน เราจะนำปุ๋ยที่หมักเองมาโรยรอบโคนต้น จากนั้นจะให้ปุ๋ยหมักทุกเดือน เดือนละ 1 ครั้ง หากพบว่าต้นมีใบเหลืองก็อาจใส่เพิ่มมากหน่อยส่วนการป้งอการพวกเชื้อราจะเริ่มฉีดพวกเชื่้อราไตรโคเดอร์มา หลังย้ายกล้าลงแปลงปลูกได้ 1 เดือน เพื่อป้องกันโรครากเน่าโคนเน่า รวมถึงสารสกัดจากสะเดาที่เราปลูกและหมักเองโดยใช้ สะเดา กากน้ำตาลจุลินทรีย์ มาหมักรวมกันประมาณ 1 เดือน ก็สามารถใช้ได้แล้วนอกจากนี้ก็มีจุลินทรีย์หน่อกล้วยที่ขยายขึ้นเองสลับกันใช้กับจุลินทรีย์ที่ซื้อมาจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งผ่ายการรับบองมาตรฐานว่าใช้กับการปลูกพืชอินทรีย์ ส่วนการป้องกันวัชพืชจะใช้กระสอบป่านคลุมที่แปลงแทนการใช้ผ้าพลาสติก และการถอนควบคู่กันไป หากวัชพืชมีมากจริงๆ"

              เคล็ดลับ สำหรับเหตุผลที่ทางสวนเลือกใช้กระสอบป่านแทนผ้าพลาสติก เพราะเป็นวัสดุเหลือใช้ที่ได้มาจากฝ่ายโรงงานเวลาสั่งพริกหรือพืชเครื่องแกงอื่นๆจากเกษตรกรที่เป็นลูกฟาร์มอยู่แล้ว อีกทั้งยังจัดการง่ายเมื่อถึงเลารื้อแปลงเพื่อปลูกพืชหมุนเวียนชนิดอื่นๆ เพราะไม่กรอบขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนพลาสติกนอกจากนี้บางส่วนยังไถกลบเป็นการเพิ่มอินทรีย์วัตถุในดินได้อีกทางหนึ่งด้วย